วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อัตชีวประวัติ :)

รางวัลจากการประกวดวาดภาพครั้งแรกเมื่อตอน ป.4
นั่นเป็นจุดหักเหแรกในชีวิต


ก่อนหน้านั้น มันก็เป็นตามประสาเด็กๆ
ที่พอถึงช่วงอายุหนึ่ง จะเริ่มหยิบดินสอมาวาดภาพเล่น
เริ่มหยิบสีเทียนมาขีดเขียน จนเกิดเป็นศิลปะแบบ Abstract ที่ไม่มีใครเข้าใจได้
จนกระทั่งได้รางวัลแรกของการประกวดนั้นมา
ฉันได้พบกับอาจารย์ในโรงเรียน ที่การแข่งขันข้างนอกนั้น
ทำให้ฉันผู้ซึ่งปกติมีงานอดิเรกเป็นการท่องสูตรคูณ เริ่มเปลี่ยนไป (ทุกๆ 1 แม่ พ่อจะให้เงินฉัน :P)
อาจารย์แนะนำพ่อกับแม่ของฉัน ให้ส่งฉันเข้าเรียนชมรมศิลปะของโรงเรียน
นับแต่นั้นฉันก็กลายเป็นเด็กประกวดศิลปะของโรงเรียนไป


ช่วงมัธยมต้น ฉันบ้าอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นมาก
และฉันก็คิดว่าฉันบ้าเข้าขั้น เพราะทุกครั้งที่อ่านหนังสือต่อสู้จบ ฉันจะต้องวิดพื้นเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (ตอนนั้นอยากได้มาก กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อ)
จนมีเรื่องหนึ่งที่ฉันยึดติดมาก มันเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับโกะ
ฉันเริ่มเล่นทุกเย็นหลังเลิกเรียน จนวันหนึ่ง ฉันขอพ่อกับแม่สอบเอาขั้นอาชีพของโกะ
แต่เมื่อพ่อยื่นคำขาดว่า ถ้าไปสอบเอาอาชีพ ก็ต้องเลิกเรียนเลยนะ?
เอาแค่จบม.ต้นนี่แหละ ม.ปลายไม่ต้องเรียนต่อ
ฉันถามพ่อว่าทำไม ? พ่อตอบว่า ทำอะไรก็ทำให้สุดๆไปเลย อย่ามากั๊กๆไว้ จะเอาดีด้านไหนก็ทุ่มไป
ฉันเจ็บใจมาก เพราะฉันอยากทั้งเรียนต่อทั้งสอบเอาอาชีพ ทำให้สุดท้ายก็ต้องพับเป้าหมายไป
และเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันเข้าใจ ว่าฉันชอบเรียนมากขนาดไหน


กระทั่งมัธยมปลาย ช่วงเวลาใกล้สอบ O-Net A-Net ก่อนสอบประมาณ 1 ปี
ฉันเริ่มอยากเข้าคณะที่เรียนภาษา เพราะฉันชอบที่จะเรียนภาษามาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม
ทำให้เรื่องภาษา ฉันถึงกับคิดว่ามันเป็นพรสวรรค์ของฉัน
แต่แล้วความฝันในการได้ Speak ภาษากับนักร้องก็ต้องถูกพับไปอีกครั้ง เมื่อพ่อของฉันเฝ้าแต่ถามว่า
เรียนเพื่ออะไร และจบไปแล้วจะทำอะไร
แต่ฉันตอบพ่อไม่ได้เลย


แล้วฉันก็มัววิ่งวนกับตัวเองไปเรื่อย
ทั้งนิเทศน์ศิลป์ (เพราะฉันชอบหนังสือ)
ทั้งวิทย์คอม (เพราะฉันชอบเล่นเกม)
ทั้งแฟชั่นดีไซเนอร์ (ฉันชอบมองคนแต่งตัวสวยๆ)
ทั้งภาษา (เพราะฉันยังตัดใจไม่ได้)
ทั้งจิตวิทยา (เพราะมันเป็นเรื่องน่าเรียนรู้มาก)


จนมาถึงสถาปัตย์ ในช่วงเวลาก่อนสอบ O-Net A-net ประมาณ 3 เดือน


ตอนนั้นฉันได้รู้จักกับพี่คนหนึ่งที่เรียนลาดกระบังทางอินเตอร์เน็ต
เขาก็เป็นแฟนบอยแบนด์เกาหลีวงที่ฉันรักวงนั้นเช่นกัน
เรารู้จักกัน จนเริ่มสนิทกันสักพัก ทำให้ฉันสอบถามข้อมูลเขาไปเรื่อยๆ
กอปรกับหาความรู้ทางอินเตอร์เน็ต ว่าคณะสถาปัตย์มีอะไร และในคณะประกอบด้วยภาควิชาอะไร สาขาอะไรบ้าง บวกกับความเข้าใจผิดๆที่คิดว่า คณะสถาปัตย์ = วาดรูป
ก็เลยเริ่มคิดว่า เอาวะ คณะนี้แหละ!


ก่อนสอบความถนัดประมาณ 2 อาทิตย์
ฉันที่มั่นใจในการวาดรูป(การ์ตูน)ของตัวเองมาก เพิ่งรู้ว่าเค้ามีติวสอนกับแบบเฉพาะด้วย
ทั้ง logo ทั้ง perspective ฯ ทำให้ฉันลนมาก และหาทางจนได้เรียนติวที่จุฬาฯเป็นเวลา 5 วัน
ตอนนั้นเริ่มท้อแท้อยู่ในใจ ว่าฉันจะเข้าได้เหรออย่างนี้?
ฉันไปไหว้ผู้ก่อตั้งโรงเรียน และขอให้ฉันติดคณะไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ที่เป็นคณะที่เหมาะสมกับฉัน


แล้วฉันก็ติดที่นี่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง :)


จากวันนั้น ก็ผ่านมาแล้ว 4 ปีกว่า
เวลาผ่านไปรวดเร็วอย่างน่าใจหาย
การเรียนที่นี่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันเอาแต่ใจตัวเองมากขนาดไหน
ทุกโปรเจ็คดีไซน์ที่ผ่านมา ฉันไม่เคยได้เกรด A เลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะฉันมักจะตั้งความหวังในงานของฉัน แบบที่ฉันพอใจ ขณะที่อาจารย์ก็จะตั้งความหวังอย่างที่อาจารย์พอใจเช่นกัน
ฉันไม่สามารถเลือกว่าจะเอาแบบฉัน หรือแบบอาจารย์ได้ แม้กระทั่งนำมาผสมรวมกันจนได้อย่างที่สมบูรณ์ที่สุด ฉันก็ทำไม่ได้
สุดท้ายงานของฉันเลยมักจะครึ่งๆกลางๆอยู่เสมอ


ฉันไม่คิดว่าฉันจะเป็นสถาปนิกที่ดีได้ ..


แทบทุกวันของการเรียน ฉันมักจะถามตัวเองอยู่เสมอ
"นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่วะ?"
แล้วฉันก็จะได้คำตอบเดิมๆก็คือ
"ฉันกำลังเรียนรู้อยู่"


บอกตามตรง ฉันทึ่งมากกับทุกคนที่ทำงานออกมาได้ดีได้
หลายคนต้องอดทนอย่างมาก กว่าจะได้ผลงานสำเร็จจนน่าพอใจขนาดนั้น
อย่างงานของ Frank lloyd wright ที่ฉันเคยได้ฟังในวิชา Concept ว่า
การออกแบบงานของเขา เขาจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่ Site เป็นระยะเวลานาน
จนรับรู้ได้ถึงทิศทางแดด ลม ฝน
เพื่อนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ จนผู้อยู่อาศัยเกิดความพอใจ
ฉันทึ่งมาก ที่เขาสามารถอดทนทำทุกอย่างได้ เพราะหลายอย่างมันซับซ้อน และต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก
เพราะฉันคงทำอย่างนั้นไม่ได้แน่ๆ
แต่ฉันก็คิดอย่างเข้าข้างตัวเองว่า ก็ไม่แน่ เพราะงานทุกชิ้นที่ฉันรักที่จะทำ ฉันก็อดทนเหมือนกัน และกับงานที่เรารัก เราคงไม่รู้สึกลำบากหรืออึดอัด
เราจะมีความสุขเมื่อได้ทำงานที่เรารัก และมันก็คงจะดีไม่น้อยที่ได้อยู่กับความสุขนั้น


ฉันในตอนนี้ รักอย่างอื่นมากกว่าการทำงานสถาปัตยกรรม


เมื่อมองย้อนกลับไปช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา
ช่วงเวลาของการฝึกงานขณะยังเป็นนักศึกษาปี 4
ฉันได้ฝึกที่บริษัท สถานี 1.618 จำกัด
ที่นั่นเป็นบริษัทขนาดเล็ก ตั้งอยู่ย่านกลางเมือง ตรงข้ามตึกแกรมมี่กันเลยทีเดียว (พี่โบ ธนากร น่ารักมากก)
อาจเป็นเพราะมันเป็นบริษัทขนาดเล็ก ทั้งบริษัทมีพนักงาน 2 คน เลยทำให้พี่เค้ายุ่งกันอยู่เสมอ
นานๆที เราจะได้คุยกัน
แต่พูดตามตรง ฉันไม่รู้หรอกว่าฉันควรจะคุยอะไรดี
เวลาที่พี่เค้าถามว่า มีอะไรอยากรู้หรือเปล่า ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันอยากรู้อะไร
แต่เมื่อไหร่ที่พี่เค้าถามฉันว่า ช่วงนี้ฉันกำลังทำอะไร
ฉันจะพูดถึงงานอดิเรกของฉันทุกที
แทบไม่มีการพูดว่า จบไปแล้วฉันจะเป็นสถาปนิก เลย
ยิ่งการทำงานออฟฟิศ ที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ รอพี่เค้าสั่งงาน ไม่งั้นก็ว่าง
มันน่าเบื่อมากสำหรับฉัน
มันไม่ใ่ช่ว่าออฟฟิศน่าเบื่อ หรือพี่เค้าน่าเบื่อ
แต่เป็นตัวฉันที่รู้สึกว่าตัวเองน่าเบื่อ ที่ไม่รู้สึกสนุกกับอะไรเลย


จากการฝึกงาน ทำให้ฉันรู้ว่าฉันเอาแต่ใจมากกว่าที่ตัวเองคิดไว้
ฉันคงไม่สามารถทำงานให้ได้ผลที่ดีได้ หากงานนั้นไม่ใช่งานที่ฉันอยากทำ
ดังนั้นฉันจึงสรุปกับตัวเองได้ว่า ฉันคงจะเป็น ฟรีแลนซ์ แน่ๆ
พูดไปแล้วฉันก็เครียด เพราะที่บ้านคิดว่าพอจบมาฉันคงทำงานเลย
พ่อกับแม่คงไม่ต้องลำบาก
แต่ฉันก็ไม่อยากเอาความไม่เอาใจใส่ กับความเห็นแก่ตัวของฉัน ไปใส่ในงานของใครเลย
และถ้าให้ฉันต้องฝืน สุดท้ายมันก็จะเหมือนกับทุกโปรเจ็คที่ผ่านมาของฉัน
ที่นอกจากตอนทำจะไม่มีความสุขแล้ว เกรดยังห่วยอีก


ถ้าจะทำ ฉันก็อยากจะทำให้ดี
ฉันไม่อยากจะทำครึ่งๆกลางๆเหมือนทุกโปรเจ็คที่ผ่านมาอีกแล้ว


มีเพียงสองสิ่งที่ทำให้ฉันยังตั้งหน้าตั้งตาเรียนมาจนถึงวันนี้ได้
เหตุผลแรก สังคมของที่นี่ ฉันรักและผูกพันมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งอาจารย์ที่เราสามารถปรึกษาปัญหาชีวิตได้
หรือกับเพื่อนที่ไม่ว่าเราจะทำตัวน่าเกลียดขนาดไหน เพื่อนก็จะรักเราเสมอ
สังคมที่นี่ บอกตามตรงว่าฉันไม่คิดว่าฉันจะหามันจากที่อื่นได้
ดีแล้วที่ฉันเลือกที่นี่เป็นอันดับ 1 ฉันคิดจริงๆว่า ฉันเหมาะกับที่นี่แล้ว ทุกวันนี้ฉันยังขอบคุณผู้ก่อตั้งโรงเรียนอยู่เสมอ
เหตุผลที่สอง คือฉันรักการเรียนมากอย่างไม่น่าเชื่อ
คณะนี้ให้ฉันได้เรียนรู้มากกว่าที่ฉันเคยคาดหวังหรือคิดเอาไว้
ไม่เพียงแต่ความรู้ในห้องเรียน ฉันได้เรียนรู้การสร้างสัมพันธ์ การคิดงาน การมองความงาม การมองสังคมที่ต่างออกไปจากที่เคยเป็น การพูด การเขียน การจัดระบบตัวเอง การวางแผน การมองคน การตอบรับความคาดหวัง การเลือกที่จะต่อสู้ในไอเดียของตัวเอง การเลือกว่าอะไรสำคัญที่สุดในเวลาที่จำกัด ฯ
มันหลากหลายมาก
ในความลำบากนั้นสอนฉันหลายอย่าง
ฉันรักที่ได้เีรียนที่นี่มากจริง ๆ


คณะนี้ทำให้ฉันได้เรียนรู้
นอกเหนือจากคำว่าสถาปัตยกรรม ยังมีโลกให้ฉันได้สัมผัส
คณะนี้เป็นยิ่งกว่าบันไดก้าวกระโดดของฉัน
ฉันคิดว่า มันจะสามารถต่อยอดให้ฉันได้อีกเยอะ


นางสาวชนกพร จันทร์นวล
49020126