วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Day 9

แล้วการเดินทางก็มาถึงวันสุดท้าย
ฉันแอบภาวนาอยู่ในใจว่าขอให้อยู่บนรถได้นานหน่อย
จนถึงขนาดหลับได้ยิ่งดี
แล้วก็มาถึงจุดหมายแรกของวันสุดท้าย
วัดราชบูรณะ จ.พิษณุโลก

วัดราชบูรณะเป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้ง อยู่ริมแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก
ทันทีที่เดินเข้ามา สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือป้ายต้อนรับจากวัด
ทั้งๆที่วัดนี้สร้างตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่กลับดูสมัยใหม่
เพราะมีการบูรณะตลอดเวลา อาจเพราะเหตุนั้น
และเพราะวัดนี้ตั้งอยู่อำเภอเมือง กลางเมือง
จึงทำให้บรรยากาศภายในวัดค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับวัดอื่นๆที่ฉันได้มีโอกาสไปมาในทริปนี้













หลังจากทำบุญลอดเรือสะเดาะเคราะห์ จนได้แผลมา
ฉันก็เดินข้ามถนนออกไปอีกฝั่งจนถึง
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

ซึ่งเป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช
โดยวิหารตั้งอยู่ด้านหน้าพระปรางค์
มีวิหารบริวารสองหลังขนาบข้างอยู่
โดยมีวิหารคดเชื่อมต่อจากวิหารหลวงล้อมรอบพื้นที่เอาไว้
ภายในมีการจัดวางแถวพระพุทธรูปสลับกัน
ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมา
เนื่องจากมันขัดแย้งกับการจัดอาคารซึ่งดูเหมือนจะเป็นรูปแบบสมมาตร










หลังจากเดินวนทำบุญอยู่ได้สักพัก
ก็ถึงเวลาทานข้าว
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ทานข้าวกับน้ำมนต์
และก็คงเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน


โดยไม่ทันรู้ตัว
ทันทีที่ขึ้นรถ
ฉันก็ได้นั่งนานจนหลับอย่างที่ภาวนาไว้


ใจหายอยู่ลึกๆ

.
.

Day 8

กงไกรลาศ

ทันทีที่รถออกเดินทาง

ฉันก็เริ่มคิดว่าคราวนี้จะได้นั่งอยู่บนรถนานไหม?
หรือจะขึ้นแล้วก็ลงแล้วก็ขึ้นแล้วก็ลงเหมือนที่ผ่านมา
และยังไม่ทันจะหลับ ก็ได้เวลา - ลง

หลังจากเดินถ่ายภาพบ้านชาวบ้านอย่างที่ทำมาจนเป็นปกติ
ก็ถึงจุดหมายอย่างไม่ทันตั้งตัว
ชุมชนกงไกรลาศเป็นชุมชนที่มีลักษณะอาคารเป็นห้องแถวโบราณ
มีอายุประมาณ 80 ปี บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้
โดยมากเปิดหน้าบ้านเป็นร้านขายของและอยู่อาศัยทางด้านหลัง
โดยชาวกงไกรลาศเดิมเป็นคนจีนที่อพยพเข้ามาตามแม่น้ำเจ้าพระยา
มีอาชีพหลักคือทำนา






โดยบ้านที่เราได้เข้าไปขออาศัยร่มนั้น
เป็นบ้านญาติอาจารย์ตี๋ อาจารย์สุรพล สุวรรณ
แต่เพื่อนๆเรานอกจากจะเรียกบ้านญาติอาจารย์ตี๋แล้ว
ยังเรียกกันอีกชื่อว่า บ้านคุณทนาย
ที่นี่ นอกจากอาศัยร่มแล้ว ยังได้อาหารมื้อเที่ยงรวมถึงขนมมื้อบ่ายด้วย

เป็นบ้านที่ร่มรื่น ทั้งทางกายและทางใจเลยทีเดียว
จนฉันอดไม่ได้ที่จะทวีตว่า "บ้านอะไรก็ไม่รู้ อยากนอนบนพื้นซักตื่นจัง"
ชั่วโมงนั้น ถ้าได้อยู่ที่นี่จนถึงบ่ายสามก็คงจะดี




ระหว่างรอทานข้าวเที่ยง ก็ออกเดินถ่ายรูปบ้านชาวบ้านไปเรื่อยๆ
(ก๋วยเตี๋ยวกับขนมวุ้นอร่อยมากเลยค่ะ)
แล้วค่อยออกเดินทางต่อไปจนถึงจุดหมาย
ต่อไป


สนามบินสุโขทัย

เป็นสนามบินที่เอารูปแบบงานสถาปัตยกรรมแบบ
สุโขทัยมาประยุกต์ให้เข้ากับสมัยที่เปลี่ยนแปลง

แม้แดดจะแรงสุดฤทธิ์ แต่สนามบินที่นี่ก็สวยงามจริงๆ
โดยภายในสนามบิน
นอกจากจะมีที่ให้เครื่องบินขึ้นลงและอาคารผู้โดยสารแล้ว
ยังมีบริเวณที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวสุโขทัยภายในอีกด้วย
เช่นส่วนเลี้ยงสัตว์ ควายเผือก ส่วนทำนา ส่วนเพาะปลูก ฯ
ฉันรู้สึกชื่นชมทุกคนที่ทำให้เกิดงานนี้ได้จริงๆ
เพราะมีไอเดียอย่างเดียวทำไม่ได้ - ต้องมีคนสนับสนุนด้วย










นอกจากสนามบินแล้ว ยังได้มีโอกาสชื่นชม
โรงแรมสุโขทัย เฮอริเทจ รีสอร์ท ซึ่งออกแบบ ด้วยรูปแบบคล้ายกัน
เห็นแล้วรู้สึกดี
ที่สถาปัตย์สุโขทัยเมื่อรวมกับสถาปัตย์แบบใหม่แล้วได้ออกมาดูดีขนาดนี้
ไม่จำเป็นต้องโมเดิร์นอย่างเดียวเลย :)







แล้วเราก็ได้แวะทานน้ำแข็งไส - บางคนทานก๋วยเตี๋ยวกัน
แม่ค้าน้ำแข็งไสบอกว่า ตอนแรกนึกว่าจะไม่มากินกันซะแล้ว
เกือบเก็บของแล้วฉันเองก็เกือบอดกินของอร่อยเช่นกัน
พี่เค้าใส่นมข้นให้เยอะแบบไม่เกรงใจเลยทีเดียว - อร่อยมาก

หลังออกจากสนามบินสุโขทัย เราก็ได้ไปถ่ายภาพบ้านชาวบ้านต่อ
คิดกี่ทีกี่ทีก็ประทับใจมาก เพราะบ้านทุกหลังที่พวกเราไปถ่าย
ไม่ได้มีการติดต่อมาก่อนทั้งสิ้น
คนชนบทนี่ใจดีจริงๆนะ ถ้าเป็นบ้านคนในเมือง
คงโดนตะเพิดกันทั้งกลุ่มแล้ว









นอกจากน้ำใจ
ท้องฟ้าที่นี่ยามอาทิตย์ใกล้ตกดินยังสวยมากอีกด้วย :)